การจัดการความเสี่ยง Forex

ถ้าหากต้องการเก็บประสบการณ์และอยู่ในตลาด Forex ให้ได้นานที่สุด สิ่งที่ห้ามละเลยก็คือการจัดการความเสี่ยง เพราะสิ่งนี้จะช่วยรักษาเงินทุนให้เราอยู่ในตลาดได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของแผนการเทรดที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องมี บทความนี้จะพาทุกคนไปเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงในการเทรด Forex  ผ่านหัวข้อดังต่อไปนี้

  • การจัดการความเสี่ยงตลาด Forex คืออะไร
  • ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex
  • เทคนิคการจัดการความเสี่ยง 
  •  วิธีการคำนวณล็อตให้เข้ากับจำนวนเงินในพอร์ต (Position Sizing)
  •  leverage ทำงานอย่างไร
  •  รู้จักความหมายของอัตราส่วน leverage
  •  วิธีการเลือก leverage
  • ข้อดีข้อเสียของการใช้ leverage
  • คู่เงินที่เหมาะสม สามารถจัดการความเสี่ยงได้ง่าย เหมาะกับมือใหม่

การจัดการความเสี่ยงตลาด Forex คืออะไร

  • การจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex คือส่วนสำคัญในแผนการเทรดที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อป้องกันความเสียหายจากตลาด Forex  เช่นการพอร์ตแตก  อารมณ์เชิงลบ
  • การจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex คือวิธีการแยกแยะระหว่างเทรดเดอร์ที่มีแผนการในการเทรดกับเทรดเดอร์ที่เทรดแบบการพนัน 
  • การจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex มีหลายรูปแบบ การวาง Stop loss, การใช้ Risk Reward Ratio หรือ การใช้ Leverage เป็นต้น

ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex

  • ป้องกันเงินทุน  การจัดการความเสี่ยงเปรียบเสมือนโล่ที่คอยปกป้องเงินทุนในพอร์ตการเทรดของเรา แผนการจัดการความเสี่ยงที่ดีป้องกันไม่ให้เราเสียเงินจากการเทรดมากเกินไป ทำให้เราสามารถอยู่ในตลาดได้นานขึ้น และมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จจากการเทรดในระยะยาว
  • สร้างความมั่นคงทางอารมณ์ การขาดทุนจากตลาด Forex จะทำให้เรารู้สึกผิดหวัง กังวล และ เครียด การจัดการความเสี่ยงจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันอารมณ์ลบได้ดีขึ้น การมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ดี จะทำให้รู้ว่าในการเปิดออเดอร์ จะกำไรเท่าไหร่และขาดทุนเท่าไหร่ เมื่อเราเห็นตัวเลขเหล่านั้น จะทำให้เราไม่รู้สึกกังวลใจ หรือเครียด นอกจากนี้การจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยสร้างความมั่นใจในการเทรดอีกด้วย 
  • รับมือกับตลาดที่ผันผวน  ความผันผวนของตลาด Forex มักเกิดจากปัจจัยพื้นฐาน การแทรกแซงจากรัฐบาล ข่าวเศรษฐกิจ เหตุการณ์สำคัญ ซึ่งช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนนั้นเป็นเหมือนดาบสองคมทำให้เทรดเดอร์ทำกำไรได้มาก แต่ก็ทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนได้มากเช่นเดียวกัน ดังนั้นการมีแผนจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้เรารับมือกับความผันผวนของตลาดได้ 
  • สร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางการเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ความสม่ำเสมอ ความมีวินัยคือนิสัยสำคัญที่จะทำให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จในตลาด Forex  การจัดการความเสี่ยงที่ดีจะทำให้-เทรดเดอร์มีวินัยมีความสม่ำเสมอในการทำตามแผนการเทรดที่วางไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเกินความจำเป็น และรักษาเงินในพอร์ตได้อย่างยั่งยืน 

เทคนิคการจัดการความเสี่ยง

  • การวางออร์เดอร์ Stop loss เป็นการตั้งปิดออเดอร์อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยจำกัดการขาดทุนเอาไว้ไม่ให้มากเกินไปเมื่อราคาวิ่งไปผิดทางจากที่คาดการณ์ไว้  
  • การคำนวณขนาดล็อต เป็นการคำนวณขนาดล็อตก่อนที่จะเปิดออเดอร์เทรด โดยมือใหม่ควรจะคุมความเสี่ยงให้อยู่ที่ 1-2% ของเงินในพอร์ต การคำนวณขนาดล็อตจะช่วยให้เทรดเดอร์ไม่เทรดแบบ Over Trade  ซึ่งจะทำให้พอร์ตแตกเร็วขึ้น
  • ใช้ Risk Reward Ratio เป็นการใช้อัตราความเสี่ยงต่ออัตราผลตอบแทน เทรดเดอร์ควรวางผลตอบแทนให้มากกว่าความเสี่ยงที่จะรับได้ในออเดอร์นั้น วิธีการนี้เป็นวิธีการส่วนใหญ่ที่เทรดเดอร์ใช้กัน โดย Risk Reward Ratio  ที่เหมาะสมก็คือ 1:1.5 – 1:3 
  • การแบ่งพอร์ต การแบ่งพอร์ตจะช่วยให้ความเสี่ยงลดลงและมีโอกาสที่จะได้กำไรมากขึ้น เทรดเดอร์ควรมีพอร์ตการลงทุนระยะยาว และพอร์ตเทรดระยะสั้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยง ถ้าหากพอร์ตลงทุนระยะยาวเติบโตไปในทิศทางที่ดี ก็จะช่วยกลบการขาดทุนจากการเทรดได้

วิธีการคำนวณล็อตให้เข้ากับจำนวนเงินในพอร์ต (Position Sizing)

  1. หาใน Google ด้วยคำว่า “ lot size calculator”
  2. เลือกเว็บไซต์ Cashbackforex.com
  3. รอกรายละเอียดในกล่องข้อความดังนี้
    1. คู่เงินเทรด
    2. สกุลเงินในพอร์ต
    3. ราคาที่เปิดออเดอร์
    4. จุดที่ตั้งตัดขาดทุน  (Pips)
    5. จำนวนเงินในพอร์ต
    6. ขนาดของสัญญา (สามารถดูขนาดของสัญญาได้จากรายละเอียดคู่เงินจาก MT4/MT5)
  4. กดคำนวณเพื่อให้โปรแกรมหาขนาดล็อตที่เหมาะสม

*จากรูปหมายความว่าถ้าเทรด EUR/USD ด้วยจำนวนเงิน 1,000 ดอลลาร์ และต้องการเสี่ยง 5% จากระยะขาดทุน 10 Pips เราจะสามารถเปิดออเดอร์ได้ด้วยจำนวน 0.5 ล็อต

รู้จักกับ Leverage

  • Leverage คือเครื่องมือที่โบรกเกอร์ให้บริการกับเทรดเดอร์ เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถยืมเงินจากสถาบันเพื่อสร้างผลตอบแทนในตลาด Forex ด้วยเงินจำนวนน้อย ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์จะมีอัตราส่วน Leverage ให้กับเทรดเดอร์ต่างกัน เริ่มต้นที่ 1:1 จนถึง 1:ไม่จำกัด 
  • Leverage เป็นเหมือนดาบสองคมเทรดเดอร์ต้องศึกษาความเสี่ยงให้ดีก่อนที่จะเข้ามาเทรดในตลาด Forex เป็นเครื่องมือที่ทำให้สร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำให้พอร์ตแตกเร็วมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

 Leverage ทำงานอย่างไร 

  • สมมุติว่ามีการเปิดบัญชีเทรดด้วยจำนวนเงิน 100 ดอลลาร์ และใช้ Leverage 1:100 หมายความว่าเงินจำนวน 100 ดอลลาร์ ก็จะสามารถเทรด Forex ได้สูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์ หรือก็คือ 100 เท่าของเงินต้น

วิธีการเลือก Leverage ให้เหมาะสม 

  • เงินในพอร์ต ถ้าหากเป็นเทรดเดอร์ที่มีจำนวนเงินในพอร์ตน้อยก็ควรใช้ Leverage สูง แต่ถ้าเป็นเทรดเดอร์ที่มีจำนวนเงินในพอร์ตมากก็ควรใช้ Leverage ต่ำ
  • กลยุทธ์เทรด ต้องดูว่ากลยุทธ์การเทรดเป็นแบบไหน ถ้าหากเป็นการเทรดทีละออเดอร์ Leverage อาจจะไม่ต้องสูงมาก แต่ถ้าเป็นการเทรดแบบถั่วเฉลี่ยก็อาจจะต้องใช้ Leverage สูง เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการเปิดออเดอร์หลายไม้
  • ประสบการณ์ หากเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์น้อยควรใช้ Leverage ต่ำ อย่างเช่น 1:5 1:10 แต่ถ้ามีประสบการณ์หรือเริ่มมีความเชี่ยวชาญในตลาดก็สามารถปรับ leverage ให้สูงขึ้นได้เป็น 1:50, 1:100 หรือมากกว่านั้น

ข้อดีข้อเสียของการใช้ Leverage

ข้อดีการใช้ Leverage

  • ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้นๆ การใช้ Leverage ทำให้เราสามารถใช้เวลาสั้นๆในการหาผลตอบแทนที่สูงได้
  • ใช้เงินจำนวนน้อย  Leverage เป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้คนที่มีทุนน้อยสามารถฝึกฝนและทำกำไรจากตลาด Forex ได้ แต่การที่มีเงินน้อยก็ต้องใช้ leverage สูง ซึ่งจะต้องจัดการความเสี่ยงให้ดีด้วยเช่นเดียวกัน
  • สะดวก Leverage เป็นเครื่องมือที่ทุกโบรกเกอร์มีให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเทรดเดอร์ โดยไม่จำเป็นต้องไปยืมเงินจากธนาคารเพื่อมาเทรดในตลาด Forex

ข้อเสียการใช้ Leverage

  • ส่งผลกระทบต่อ mindset และอารมณ์ ยิ่งใช้ Leverage สูง ผลตอบแทนและความเสี่ยงก็มากขึ้นตามมา ทำให้เทรดเดอร์อาจไม่ระวังและมีการเปิดออเดอร์ด้วยจำนวนเงินที่มากเกินไป การที่เห็นผลกำไรและขาดทุนวิ่งขึ้นวิ่งลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดความกลัว และความกังวล ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อการเทรด
  • พอร์ตแตกง่าย การใช้ Leverage ที่สูงมากเกินไป เมื่อเกิดการขาดทุนเพียงเล็กน้อยอาจจะส่งผลให้เกิดการพอร์ตแตกได้เช่นเดียวกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนไม่อยากจะเจออย่างแน่นอน

คู่เงินที่เหมาะสม สามารถจัดการความเสี่ยงได้ง่าย เหมาะกับมือใหม่

  • คู่เงินที่มีความผันผวนต่ำ สภาพคล่องสูง  คู่เงินที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสูง จะมีความผันผวนต่ำและมีสภาพคล่องสูง ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการจัดการความเสี่ยง ไม่ต้องมากังวลกับความผันผวนของตลาดมากนัก ตัวอย่างเช่น EUR/USD, NZD/USD, USD/JPY, และอื่นๆ เป็นต้น
  • คู่เงินหลักในตลาด Forex ทุกคู่เงิน คู่เงินหลักไม่ว่าจะเป็น USD/JPY, EUR/USD, GBP/USD และอื่นๆ จะมีขนาดของสัญญา (Contract Size) เท่ากัน ซึ่งเป็นตัวแปรหนึ่งในการใช้คำนวณความเสี่ยง ดังนั้นทุกคู่เงินสามารถคำนวณความเสี่ยงและขนาด lot  ได้เหมือนๆกันนั่นเอง
    • Standard lot จะมีขนาดของสัญญา 100,000 Unit 
    • Micro lot  จะมีขนาดของสัญญา 1,000 Unit