หากเพื่อน ๆ เทรดเดอร์มือใหม่ ยังไม่มีเทคนิคการเทรดเพื่อทำกำไรเป็นของตัวเอง บทความนี้จะมาแนะนำ 10 เทคนิคการเทรด Forex ชั้นสูง พร้อมทั้งแนะนำความยากง่ายของเทคนิค ผ่านหัวข้อดังต่อไปนี้
- SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap
- Fibonacci Retracement
- Supply / Demand
- Support and Resistance
- Chart Pattern
- Price Action
- Break out
- Trend line / EMA Pullback
- RSI Divergence
- Bolinger Bands
SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap
- เทคนิคการเทรด SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap เป็นเทคนิคเทรดตามเหล่า Smart Money หรือเทรดเดอร์รายใหญ่ เช่น ธนาคาร กองทุน หรือ สถาบันการเงิน เป็นต้น
- เทคนิคการเทรด SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap เป็นเทคนิคที่ต้องใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างตลาดระดับสูง เข้าใจเกี่ยวกับแท่งเทียน และแนวรับแนวต้าน และการอ่านปริมาณการซื้อขาย
สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap
- การเทรดด้วยเทคนิคนี้เทรดเดอร์จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างตลาด มีความแม่นยำในการอ่านโครงสร้างตลาดเป็นอย่างดี
- เทรดเดอร์จะต้องมีความชำนาญในการอ่านพฤติกรรมของแท่งเทียนและหา Fair Value Gap ได้แม่นยำ
คำศัพท์ของเทคนิค SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap
- Choch (Change of Character) เป็นชื่อที่ใช้เรียกเมื่อตลาดเริ่มมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเทรนด์จากตลาดขาขึ้นเป็นตลาดขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น
- BOS (Break of Structure) เป็นชื่อเรียกเมื่อตลาดมีการจะทำลายโครงสร้างและไปต่อในทิศทางเดิม
- FVG ( Fair Value Grab) ลักษณะของแท่งเทียน 3 แท่งที่ไส้ของแท่งเทียนแท่งที่ 1 กับไส้ของแท่งเทียนแท่งที่ 3 ไม่ติดกัน แสดงถึงออเดอร์ของเทรดเดอร์รายใหญ่ที่ยังไม่ถูกเติมเต็มจนเกิดเป็นช่องว่างของราคา
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม และเส้นแนวนอน
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- ราคาทำ Choch และ Bos ในโครงสร้างตลาดขาขึ้น
- มองหาช่องว่างของราคา Fair Value Gap และตีกรอบบริเวณนั้น
- รอราคากลับมาเข้าโซนของ FVG แล้วจึงค่อยเทรด
- ตั้ง Stop loss ใต้โซน FVG และ Take profit ที่บริเวณแนวต้าน
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- ราคาทำ Choch และ Bos ในโครงสร้างตลาดขาลง
- มองหาช่องว่างของราคา Fair Value Gap และตีกรอบบริเวณนั้น
- รอราคากลับมาเข้าโซนของ FVG แล้วจึงค่อยเทรด
- ตั้ง Stop loss ใต้โซน FVG และ Take profit ที่บริเวณแนวรับ
ความยากง่ายของเทคนิค
- เป็นเทคนิคที่ค่อนข้างยาก เทรดเดอร์ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและเรียนรู้เทคนิคนี้อย่างลึกซึ้งถึงจะสามารถนำมาทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เทรดด้วยเทคนิค Smart Money Concept ต้องฝึกอ่านโครงสร้างตลาด และฝึกอ่านแท่งเทียนเพื่อหาโซน Fair Value Gap เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม
- เทคนิค Smart Money Concept มีการเทรดอีกหลายรูปแบบเทรดเดอร์สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้
- สำหรับมือใหม่ที่ยังอ่านโครงสร้างตลาดไม่เก่งหรือยังไม่สามารถหา Fair Value Gap สามารถใช้อินดิเคเตอร์ชื่อว่า “Smart Money Concept (SMC) ของ Lux Algo ช่วยเหลือได้
Fibonacci Retracement
- เทคนิค Fibonacci Retracement เป็นเทคนิคการเทรดโดยใช้ตัวเลข Fibonacci ในแง่มุมของอัตราส่วนทองคำ มาช่วยในการคาดการณ์ทิศทางตลาด
สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Fibonacci Retracement
- ตัวเลข Fibonacci เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทั่วไปไม่ว่าจะเป็น ก้นหอย รูปทรงของ กาแล็คซี่
- อารมณ์ของคนในตลาดการเงินการลงทุนถือว่าเป็นธรรมชาติ ดังนั้นในตลาด Forex และตลาดการเงินอื่น ๆ จึงสามารถนำตัวเลข Fibonacci มาช่วยในการวิเคราะห์ทิศทางได้
- ในการเทรดโดยการใช้ Fibonacci เราจะใช้อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio) ของเครื่องมือ Fibonacci Retracement มาใช้ในการคาดการณ์จุดย่อของราคาเพื่อเขตตามแนวโน้มของเทรนด์ระยะยาว
- เทรดเดอร์จะต้องศึกษาเกี่ยวกับ Swing Low และ Swing High ของตลาดเพื่อให้สามารถตีเส้น Fibonacci Retracement ได้อย่างแม่นยำ
คำศัพท์ของเทคนิค Fibonacci Retracement
- Golden Ratio คืออัตราส่วนที่สวยงามตามโครงสร้างธรรมชาติ โดยจะมีค่าเท่ากับ 1.618 ในทางการเทรดโดยใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement อัตราส่วนทองคำจะมีค่าเท่ากับ 0.382 , 0.5 และ 0.618
- Swing High ราคาสูงสุดก่อนที่กราฟจะมีการกลับตัวลง
- Swing Low ราคาต่ำสุดก่อนที่กราฟจะกลับตัวขึ้น
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- เครื่องมือวาด Fibonacci Retracement
- ตั้งค่าให้แสดงตัวเลข 0 , 0.382 , 0.5 , 0.618, 1 และ 1.618
- ตั้งค่าเป็น Reverse
- เส้น EMA
- ตั้งค่า 200
- เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- กราฟอยู่เหนือเส้น EMA 200
- ในแนวโน้มขาขึ้นให้ตี Fibonacci Retracement จาก Swing Low ล่าสุด ไปที่ Swing High ล่าสุด
- ตีกรอบสี่เหลี่ยมบริเวณค่า 0.382 , 0.5 , 0.618 ของ Fibonacci Retracement
- เมื่อราคาลงมาแตะในกรอบ และขึ้นไปปิดเหนือ 0.618 ให้เปิดออเดอร์
- ตั้ง Stop loss ใต้กรอบที่วาดเอาไว้และตั้งจุด Take Profit ไว้ที่แนวต้าน หรือที่ Fibonacci อัตราส่วน 1.618
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- กราฟอยู่ใต้เส้น EMA 200
- ในแนวโน้มขาขึ้นให้ตี Fibonacci Retracement จาก Swing High ล่าสุด ไปที่ Swing Low ล่าสุด
- ตีกรอบสี่เหลี่ยมบริเวณค่า 0.382 , 0.5 , 0.618 ของ Fibonacci Retracement
- เมื่อราคาลงมาแตะในกรอบ และขึ้นไปปิดใต้อัตราส่วน 0.618 ให้เปิดออเดอร์
- ตั้ง Stop loss เหนือกรอบที่วาดเอาไว้และตั้งจุด Take Profit ไว้ที่แนวรับ หรือที่ Fibonacci อัตราส่วน 1.618
ความยากง่ายของเทคนิค
- เทคนิคการเทรด Fibonacci Retracement เป็นเทคนิคที่ใช้งานง่าย แต่ผู้ใช้จะต้องรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของตลาดในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบนี้ทำงานได้ดีมากขึ้น
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- เทคนิคการเทรด Fibonacci Retracement ใช้ได้ทุก Time Frame แต่จะมีประสิทธิภาพสูงในTime Frame ใหญ่ ที่เห็น Swing Low และ Swing High
- เทคนิคการเทรด Fibonacci Retracement สามารถทำกำไรได้มากขึ้นหากเทรดเดอร์รู้จักแนวรับแนวต้าน ทำให้สามารถทำกำไรได้จนสุดเทรนด์
Supply / Demand
- เทคนิคการเทรด Supply / Demand เป็นเทคนิคที่ใช้ในการเทรดได้ 2 รูปแบบได้แก่ เทรดจุดกลับตัว และ เทรดตามแนวโน้มของเทรนด์ในตลาด
สิ่งที่ควรทำเพื่อเทรดด้วยเทคนิค Supply / Demand
- Supply คือโซนที่ราคามีการขายอย่างรุนแรง
- Demand คือโซนที่ราคามีการซื้ออย่างรุนแรง
- การเทรดด้วย Supply / Demand จะต้องมีความชำนาญเรื่องการอ่านปริมาณการซื้อและการขายในตลาด โดยการใช้แท่งเทียน
- การเทรดด้วย Supply / Demand เป็นการเทรดตามรายใหญ่
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม
หลักการวาด Supply / Demand
- วาดบริเวณที่มีการซื้อหรือการขายอย่างรุนแรง
- วาดช่วงที่ราคาเป็น Side Way ระยะสั้น
- วาดบริเวณที่มีไส้แท่งเทียนจำนวนมาก
เงื่อนไขการเทรด Demand
- วาดกรอบ Demand zone
- รอราคาวิ่งกลับมาที่ Demand zone และเกิดรูปแบบการกลับตัวของราคา
- เปิดออร์เดอร์ Buy
- ตั้ง Stop loss ใต้กรอบ Demand Zone ตั้ง Take profit ที่แนวต้านถัดไป
เงื่อนไขการเทรด Supply
- วาดกรอบ Supply zone
- รอราคาวิ่งกลับมาที่ Supply zone และเกิดรูปแบบการกลับตัวของราคา
- เปิดออร์เดอร์ Sell
- ตั้ง Stop loss ใต้กรอบ Supply Zone ตั้ง Take profit ที่แนวรับถัดไป
ความยากง่ายของเทคนิค
- Supply / Demand เป็นการเทรดที่มีความยากอยู่ในระดับปานกลาง แต่ถ้าศึกษาการอ่านแท่งเทียนและปริมาณการซื้อขายจนชำนาญ ก็จะสามารถหาโซน Supply / Demand ได้ง่ายมากขึ้น
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- ถึงแม้ว่าเทคนิค Supply / Demand จะสามารถเทรดได้ทั้งจุดกลับตัวและเทรดตามเทรนด์ แต่สำหรับมือใหม่แล้ว ควรเริ่มจากการเทรดตามเทรนด์เพราะมีโอกาสที่จะชนะมากกว่า
- Supply / Demand ใน Time Frame ใหญ่จะมีความแข็งแรงดังนั้นตีกรอบ Supply / Demand ใน Time Frame ใหญ่และหาจุดเข้าใน Time Frame เล็ก จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มกำไรได้
- สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญในการตีกรอบ Supply / Demand สามารถใช้อิดิเคเตอร์ที่มีชื่อว่า “ Multi Timeframe Supply & Demand Zones ของ Lenny_Kiruthu
Support / Resistance
- เทคนิค Support / Resistance หรือแนวรับแนวต้าน คือการเทรดโดยการตีแนวรับแนวต้าน
- การใช้แนวรับแนวต้านในการเทรดเป็นเทคนิคพื้นฐานแต่มีประสิทธิภาพสูงถ้าหากสามารถเรียนรู้และใช้เป็น
สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Support / Resistance
- Support / Resistance หรือแนวรับแนวต้าน เป็นโซนที่ราคามักจะมีการกลับตัว
- เมื่อราคามาชนแนวรับจะมีการกลับตัวขึ้น
- เมื่อราคามาชนแนวต้านจะมีการกลับตัวลง
- เมื่อราคาทะลุแนวต้าน แนวต้านเดิมจะเปลี่ยนเป็นแนวรับใหม่
- เมื่อราคาทะลุแนวรับ แนวรับเดิมจะเปลี่ยนเป็นแนวต้านใหม่
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม , เส้นแนวนอน
หลักการตีแนวรับแนวต้าน
- บริเวณที่มีแนวรับหรือแนวต้านสำคัญราคาจะมีลักษณะเป็นไส้เทียนมากกว่าเนื้อเทียน
- บริเวณที่เป็นแนวรับแนวต้านสำคัญราคาจะมีการชนและกลับตัว
- แนวรับแนวต้านที่มีความแข็งแรงราคาจะมีการชนและกลับตัวอย่างน้อย 3 ครั้ง
- การตีเส้นแนวรับแนวต้านควรตีบริเวณที่ใกล้กับราคาปัจจุบัน
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้นตลาด Sideway
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
- รอราคาลงมาที่แนวรับ และเกิดรูปแบบการกลับตัว
- เปิดออเดอร์ Buy
- ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ และ Take Profit ที่แนวต้าน
เงื่อนไขการเทรดขาลงตลาด Sideway
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
- รอราคาลงมาที่แนวต้าน และเกิดรูปแบบการกลับตัว
- เปิดออเดอร์ Sell
- ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน และ Take Profit ที่แนวรับ
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้นตลาดเป็นเทรนด์
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
- รอราคาทะลุแนวต้าน และกลับมาที่แนวต้านนั้น ๆ
- รอราคาเกิดการกลับตัวบริเวณแนวต้านที่เปลี่ยนเป็นแนวรับ
- ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ และ Take Profit ที่แนวต้าน
เงื่อนไขการเทรดขาลงตลาดเป็นเทรนด์
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
- รอราคาทะลุแนวรับ และกลับมาที่แนวรับนั้น ๆ
- รอราคาเกิดการกลับบริเวณแนวรับที่เปลี่ยนเป็นแนวต้าน
- ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน และ Take Profit ที่แนวรับ
ความยากง่ายของเทคนิค
- แนวรับแนวต้านเป็นเทคนิคที่เข้าใจง่าย แต่การนำไปใช้ค่อนข้างยาก เป็นเทคนิคที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจ ถึงจะเริ่มใช้ได้อย่างชำนาญ
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- การตีแนวรับแนวต้านควรตีใน Time Frame ใหญ่ แนวรับแนวต้านจะมีความแข็งแรงมากกว่า
- สำหรับมือใหม่ที่ใช้เทคนิคนี้ควรเริ่มจากการเทรดในตลาดที่เป็นเทรนด์ มากกว่าการเทรดในรูปแบบ Side way
- การตีแนวรับแนวต้านควรตีเป็นกรอบราคาเพราะจะครอบคลุมมากกว่าการตีในแบบเส้น
Chart Pattern
- Chart Pattern เป็นเทคนิคการเทรดตามลักษณะการเกิดของโครงสร้างกราฟราคาในตลาด
- Chart Pattern มีหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตามเทรน โครงสร้างการกลับตัว
สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Chart Pattern
- Chart Pattern เป็นเทคนิคที่สามารถเทรดได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเทรดตามเทรนด์หรือเทรดจุดกลับตัว
- การใช้เทคนิค Chart Pattern เทรดเดอร์จะต้องหมั่นศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างตลาด และอ่านรูปแบบการเกิดซ้ำๆของแท่งเทียน
Chart Pattern ที่ได้รับความนิยม
- Head and Shoulders
- Flag
- Double Top
- Double Bottom
- Triple Top
- Triple Bottom
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- เครื่องมือวาด : เส้นแนวนอน และ เส้นทแยง
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- ตีกรอบแนวรับ แนวต้าน หรือเส้นแนวโน้มบนกราฟ
- รอกราฟ ทำรูปแบบของตลาดขาขึ้น เช่น Bullish flag, Double Bottom หรือ Inverted Head and Shoulders
- เปิดออเดอร์ Buy
- ตั้ง Stop loss ใต้เส้นแนวรับ หรือ ใต้เส้นแนวโน้ม และ Take Profit โดยใช้ Risk Reward Ratio อย่างน้อย 1:2
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- ตีกรอบแนวรับ แนวต้าน หรือเส้นแนวโน้มบนกราฟ
- รอกราฟ ทำรูปแบบของตลาดขาขึ้น เช่น Bearlish flag, Double Top หรือ Head and Shoulders
- เปิดออเดอร์ Sell
- ตั้ง Stop loss เหนือเส้นแนวต้าน หรือ เหนือเส้นแนวโน้ม และ Take Profit โดยใช้ Risk Reward Ratio อย่างน้อย 1:2
ความยากง่ายของเทคนิค
- เป็นเทคนิคที่มีความยากระดับปานกลาง ผู้ใช้จะต้องศึกษาโครงสร้างของตลาดและรูปแบบของ Chart Pattern ให้แม่นยำ
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ควรเลือกใช้ Chart Pattern เพียง 1-2 รูปแบบ ในการสร้างแผนเทรดจนเกิดความชำนาญ ก่อนที่จะเริ่มศึกษา Chart pattern อื่น ๆ
- การตั้งจุด Stop loss และ Take Profit สามารถปรับได้ตามพฤติกรรมของสินทรัพย์ ซึ่งต้องเกิดจากการทดสอบเทคนิคการเทรดย้อนหลัง
Price Action
- Price Action เป็นเทคนิคระดับสูงที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันทั่วโลก
- เทคนิคการเทรด Price Action เป็นการเทรดโดยใช้ลักษณะของแท่งเทียนซึ่งแสดง พฤติกรรมของคนในตลาด
- เทคนิค Price Action เป็นเทคนิคที่ใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ ตัวอย่างเช่น แนวรับแนวต้าน เป็นต้น
สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Price Action
- เทรดเดอร์ที่เทรดเทคนิคนี้จะต้องรู้จักกับพฤติกรรมของแท่งเทียน และจำรูปแบบ ของแท่งเทียนได้อย่างแม่นยำ
- การเทรดด้วย Price Action เมื่อรวมกับเทคนิคอื่นๆจะมีอัตราการชนะที่สูงมากขึ้น
- การเทรดด้วย Price Action มักจะเป็นการใช้เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา
รูปแบบแท่งเทียนที่นิยมมาใช้เทรด Price Action
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม
- รอราคาลงมาที่แนวรับ หรือที่เส้นแนวโน้ม และเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว Bullish Engulfing , Morning Star
- เปิดออเดอร์ Buy
- ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ ใต้เส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวต้าน
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม
- รอราคาลงมาที่แนวต้าน หรือที่เส้นแนวโน้ม และเกิดรูปแบบการกลับตัว Bearlish Engulfing, Evening Star
- เปิดออเดอร์ Sell
- ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน เหนือเส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวรับ
ความยากง่ายของเทคนิค
- การเทรดด้วยเทคนิค Price Action เป็นเทคนิคที่ง่ายสามารถใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถเทรดได้เมื่อใช้ร่วมกับเทคนิคอื่น การสังเกตรูปแบบแท่งเทียนจะทำได้ง่ายขึ้น
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- เทรดเดอร์ที่เทรดด้วยเทคนิค Price Action ควรหารูปแบบแท่งเทียนบริเวณที่ใกล้กับ Key Level เช่นบริเวณแนวรับแนวต้าน Demand / Supply หรือ เส้น EMA
Break out
- เทคนิคการเทรด Break out คือการเทรดเมื่อราคาได้มีการทำลายแนวรับแนวต้าน โดยเทรดในทิศทางเดียวกับแท่งเทียนที่มีการ Break out
สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Break out
- เทคนิคการเทรด Break out จะมีสัญญาณหลอกค่อนข้างเยอะ เทรดเดอร์จะต้องดูลักษณะของแท่งเทียนตอนที่มีการ Break out ซึ่งควรมีขนาดใหญ่บ่งบอกถึงแรงซื้อแรงขายที่ชัดเจน (แท่งเทียน Momentum
คำศัพท์ของเทคนิค Break out
- Break out คือการที่ราคาสามารถทำลายแนวรับแนวต้าน และทำให้ตลาดมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็น=เทรนด์
ลักษณะแท่งเทียน Momentum
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม หรือรูปแบบของ Chart pattern
- รอราคาวิ่งทะลุแนวต้านหรือเส้นแนวโน้มในทิศทางขาขึ้น
- เปิดออเดอร์ Buy เมื่อมีแท่งเทียนโมเมนตัม
- ตั้ง Stop loss ใต้เส้นแนวรับ หรือ ใต้เส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวต้าน
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม หรือรูปแบบของ Chart pattern
- รอราคาวิ่งทะลุแนวรับหรือเส้นแนวโน้มในทิศทางขาลง
- เปิดออเดอร์ Sell เมื่อมีแท่งเทียนโมเมนตัม
- ตั้ง Stop loss เหนือเส้นแนวต้าน หรือ เหนือเส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวรับ
ความยากง่ายของเทคนิค
- การเทรด Break out เป็นเทคนิคที่ยากในระดับปานกลาง เทรดเดอร์ต้องหมั่นศึกษาลักษณะของแท่งเทียนช่วงที่ราคามีการ ฺBreak out เพื่อให้มีความแม่นยำในการเทรดมากขึ้น
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- เทคนิคการเทรด Break out ไม่จำเป็นต้องเทรดกับแนวรับแนวต้านเพียงอย่างเดียว สามารถใช้ในการเทรดกับ Chart pattern ได้ด้วย
EMA Pullback
- เทคนิคการเทรด EMA Pullback เป็นการเทรดโดยหาโอกาสจากจุดย่อของเทรนด์ในตลาด
- เทคนิคการเทรดนี้จะทำให้เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์ในราคาถูก (Discount) และปิดออเดอร์ในราคาแพง (Premium)
สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค EMA Pullback
- เทรดเดอร์ที่ใช้เทคนิคนี้จะต้องชำนาญในการใช้งานเส้น EMA และรู้จักการตั้งค่าให้เหมาะสมกับลักษณะของเทรนด์ในตลาด
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- เส้น EMA
- ตั้งค่า 50
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- รอให้ราคาวิ่งอยู่ เหนือเส้น EMA 50
- รอราคาวิ่งกลับมาใกล้เส้น EMA 50 หรือแตะกับเส้น EMA 50
- รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Buy
- ตั้ง Stop loss ใต้เส้น Swing Low หรือใต้เส้น EMA 50 และ Take Profit ที่แนวต้านหรือใช้ Risk Reward Ratio 1:2
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- รอให้ราคาวิ่งอยู่ ใต้เส้น EMA 50
- รอราคาวิ่งกลับมาใกล้เส้น EMA 50 หรือแตะกับเส้น EMA 50
- รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Sell
- ตั้ง Stop loss ใต้เส้น Swing High หรือเหนือเส้น EMA 50 และ Take Profit ที่แนวรับหรือใช้ Risk Reward Ratio 1:2
ความยากง่ายของเทคนิค
- เทคนิค EMA Pullback เป็นเทคนิคที่เข้าใจง่าย มือใหม่ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถนำไปปรับใช้ในการเทรดได้
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- การเทรดด้วยเทคนิค EMA Pullback ควรใช้ EMA อย่างน้อย 2 เส้นจะช่วยหาแนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น
- การตั้งค่า EMA ควรขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของสินทรัพย์ที่เทรดในตลาด ซึ่งพื้นฐานแล้ว การเทรดด้วยเทคนิคนี้จะใช้ EMA ที่ตั้งค่า 20 , 50 ,100 และ 200
- สามารถใช้อินดิเคเตอร์ อย่างเช่น Stochastic RSI , RSI หรือ MACD มาช่วยยืนยันการกลับตัวของราคา
RSI Divergence
- RSI Divergence เป็นการเทรดจุดกลับตัวโดยใช้อินดิเคเตอร์ RSI
- RSI (Relative Strength Index) เป็นอินดิเคเตอร์ที่แสดงโมเมนตัมของตลาดไว้ดูแรงซื้อแรงขาย สามารถใช้บ่งชี้จุดที่ราคาอาจจะมีการกลับตัวได้
สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค RSI Divergence
- การเทรดจุดกลับตัวด้วย RSI มีอัตราการชนะต่ำ แต่ทำกำไรได้สูง ควรเทรดใน Time Frame ใหญ่อย่างเช่น 4H หรือ D จะมีความแม่นยำมากกว่าใน Time Frame เล็ก
คำศัพท์ของเทคนิค RSI Divergence
- RSI Bullish Divergence คือ RSI มีการยกตัวขึ้น แต่ราคาวิ่งต่ำลง แสดงว่าแรงขายเริ่มน้อยลง และเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาในตลาด
- RSI Bearlish Divergence คือ RSI มีการกดตัวลง แต่ราคาวิ่งสูงขึ้น แสดงว่าแรงซื้อเริ่มน้อยลง และเริ่มมีแรงขายเข้ามาในตลาด
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- RSI
- ตั้งค่า 14 (ค่าพื้นฐาน)
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
- รอให้วิ่งมาที่บริเวณแนวรับสำคัญ
- รอให้ RSI เกิด RSI Bullish Divergence
- รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Buy
- ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ และ Take Profit ที่แนวต้าน
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
- รอให้วิ่งมาที่บริเวณแนวรับสำคัญ
- รอให้ RSI เกิด RSI Bearlish Divergence
- รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Sell
- ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน และ Take Profit ที่แนวรับ
ความยากง่ายของเทคนิค
- เป็นเทคนิคที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถที่จะเทรดได้
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- การใช้เทคนิค RSI Divergence จะมีประสิทธิภาพมากถ้าเทรดเดอร์สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์หลาย Time Frame หาจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวจาก RSI ใน Time Frame ใหญ่ และหาจุดเข้าใน Time Frame เล็ก เพื่อให้ได้เปรียบตลาดและมีความเสี่ยงน้อยลง
- ถ้ายังไม่สามารถมองหา Divergence จาก RSIi ได้อย่างชำนาญสามารถใช้อินดิเคเตอร์ชื่อ “RSI Divergence Indicator” ในการช่วยเหลือได้
- RSI Divergence สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเทคนิคอื่นๆได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น EMA Pullback เป็นต้น
Bolinger Bands
- เทคนิค Bolinger Bands เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยส่วนใหญ่แล้วใช้ในการเทรดช่วงตลาด Side way แต่ก็สามารถเทรดในช่วงตลาดที่เป็นเทรนด์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเทคนิคนี้ใช้ – อินดิเคเตอร์ ที่มีชื่อว่า “Bolinger Bands”
- อินดิเคเตอร์ Bolinger Bands ประกอบด้วย 3 ส่วนได้แก่
- Upper Bands
- Middle Bands
- Lower Bands
สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Bolinger Bands
- เทคนิค Bolinger Bands เป็นเทคนิคในการเทรดจุดกลับตัว แต่ไม่ควรนำไปใช้ในการเทรดสวน —–เทรนด์
- Bolinger Bands สามารถใช้ดูแนวโน้มของเทรนด์ในตลาดได้
- ถ้ากราฟอยู่บริเวณ Upper Bands และขนาดของ Bolinger Bands กว้าง หมายถึงตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่รุนแรง
- ถ้ากราฟอยู่บริเวณ Middle Bands และขนาดของ Bolinger Bands เริ่มแคบลงหมายความว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง Side way
- ถ้ากราฟอยู่บริเวณ Lower Bands และขนาดของ Bolinger Bands กว้าง หมายถึงตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาลงที่รุนแรง
- Bolinger Bands สามารถใช้ดูโมเมนตัมของตลาดได้
เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า
- Bolinger Bands
- ตั้งค่า 20 (ค่าพื้นฐาน)
- EMA
- ตั้งค่า 200
เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น
- ดูแนวโน้มขาขึ้นโดยกราฟต้องอยู่เหนือ EMA 200
- รอกราฟราคาวิ่งกลับมาบริเวณ Middle Bands และเกิดการกลับตัวขึ้น (รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว)
- เปิดออเดอร์ Buy
- ตั้ง Stop loss ไว้ใต้เส้น Middle Bands และ Take Profit เมื่อราคาต่ำกว่าเส้น Middle Bands
เงื่อนไขการเทรดขาลง
- ดูแนวโน้มขาลงโดยกราฟต้องอยู่ใต้ EMA 200
- รอกราฟราคาวิ่งกลับมาบริเวณ Middle Bands และเกิดการกลับตัวลง (รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว)
- เปิดออเดอร์ Sell
- ตั้ง Stop loss ไว้เหนือเส้น Middle Bands และ Take Profit เมื่อราคาสูงกว่าเส้น Middle Bands
ความยากง่ายของเทคนิค
- เป็นเทคนิคที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถเข้าใจระบบได้อย่างลึกซึ้ง เทคนิค Bolinger Bands สามารถทำกำไรได้สูง
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
- เทคนิค Bolinger Bands สามารถตั้งจุดทำกำไรโดยใช้ Risk Reward Ratio เข้ามาช่วยได้ไม่จำเป็นต้องรันเทรนด์
- เทคนิค Bolinger Bands นอกจากจะใช้งานกับเส้น EMA แล้ว ยังสามารถใช้กับอินดิเคเตอร์ตัวอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น RSI, แนวรับแนวต้าน หรือ Bolinger Bands ที่มีการตั้งค่าแตกต่างกัน
- หากเริ่มมีความชำนาญในการอ่านโครงสร้างตลาดสามารถนำเทคนิคนี้ไปเทรดในตลาดที่เป็น Side way ได้