10 เทคนิคการเทรด Forex ขั้นสูง

หากเพื่อน ๆ เทรดเดอร์มือใหม่ ยังไม่มีเทคนิคการเทรดเพื่อทำกำไรเป็นของตัวเอง บทความนี้จะมาแนะนำ 10 เทคนิคการเทรด Forex ชั้นสูง พร้อมทั้งแนะนำความยากง่ายของเทคนิค ผ่านหัวข้อดังต่อไปนี้

  • SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap
  •  Fibonacci Retracement
  • Supply / Demand
  • Support and Resistance
  • Chart Pattern
  • Price Action
  • Break out
  • Trend line / EMA Pullback
  • RSI Divergence
  • Bolinger Bands

SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap

  • เทคนิคการเทรด SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap เป็นเทคนิคเทรดตามเหล่า Smart Money หรือเทรดเดอร์รายใหญ่ เช่น ธนาคาร กองทุน หรือ สถาบันการเงิน เป็นต้น
  • เทคนิคการเทรด SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap เป็นเทคนิคที่ต้องใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างตลาดระดับสูง เข้าใจเกี่ยวกับแท่งเทียน และแนวรับแนวต้าน และการอ่านปริมาณการซื้อขาย

สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap

  • การเทรดด้วยเทคนิคนี้เทรดเดอร์จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างตลาด มีความแม่นยำในการอ่านโครงสร้างตลาดเป็นอย่างดี
  • เทรดเดอร์จะต้องมีความชำนาญในการอ่านพฤติกรรมของแท่งเทียนและหา Fair Value Gap ได้แม่นยำ

คำศัพท์ของเทคนิค SMC (Smart Money Concept) & Fair Value Gap

  • Choch (Change of Character) เป็นชื่อที่ใช้เรียกเมื่อตลาดเริ่มมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเทรนด์จากตลาดขาขึ้นเป็นตลาดขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น

  • BOS (Break of Structure) เป็นชื่อเรียกเมื่อตลาดมีการจะทำลายโครงสร้างและไปต่อในทิศทางเดิม

  • FVG ( Fair Value Grab) ลักษณะของแท่งเทียน 3 แท่งที่ไส้ของแท่งเทียนแท่งที่ 1 กับไส้ของแท่งเทียนแท่งที่ 3 ไม่ติดกัน แสดงถึงออเดอร์ของเทรดเดอร์รายใหญ่ที่ยังไม่ถูกเติมเต็มจนเกิดเป็นช่องว่างของราคา

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม และเส้นแนวนอน

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. ราคาทำ Choch และ Bos ในโครงสร้างตลาดขาขึ้น
  2. มองหาช่องว่างของราคา Fair Value Gap และตีกรอบบริเวณนั้น
  3. รอราคากลับมาเข้าโซนของ FVG แล้วจึงค่อยเทรด
  4.  ตั้ง Stop loss  ใต้โซน FVG และ Take profit ที่บริเวณแนวต้าน

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. ราคาทำ Choch และ Bos ในโครงสร้างตลาดขาลง
  2. มองหาช่องว่างของราคา Fair Value Gap และตีกรอบบริเวณนั้น
  3. รอราคากลับมาเข้าโซนของ FVG แล้วจึงค่อยเทรด
  4.  ตั้ง Stop loss  ใต้โซน FVG และ Take profit ที่บริเวณแนวรับ

ความยากง่ายของเทคนิค

  • เป็นเทคนิคที่ค่อนข้างยาก เทรดเดอร์ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและเรียนรู้เทคนิคนี้อย่างลึกซึ้งถึงจะสามารถนำมาทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เทรดด้วยเทคนิค Smart Money Concept ต้องฝึกอ่านโครงสร้างตลาด และฝึกอ่านแท่งเทียนเพื่อหาโซน Fair Value Gap เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม
  • เทคนิค Smart Money Concept มีการเทรดอีกหลายรูปแบบเทรดเดอร์สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้
  • สำหรับมือใหม่ที่ยังอ่านโครงสร้างตลาดไม่เก่งหรือยังไม่สามารถหา Fair Value Gap สามารถใช้อินดิเคเตอร์ชื่อว่า “Smart Money Concept (SMC)  ของ Lux Algo ช่วยเหลือได้

 Fibonacci Retracement

  • เทคนิค Fibonacci Retracement เป็นเทคนิคการเทรดโดยใช้ตัวเลข Fibonacci ในแง่มุมของอัตราส่วนทองคำ มาช่วยในการคาดการณ์ทิศทางตลาด

สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Fibonacci Retracement

  • ตัวเลข Fibonacci เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทั่วไปไม่ว่าจะเป็น ก้นหอย รูปทรงของ กาแล็คซี่
  • อารมณ์ของคนในตลาดการเงินการลงทุนถือว่าเป็นธรรมชาติ ดังนั้นในตลาด Forex และตลาดการเงินอื่น ๆ จึงสามารถนำตัวเลข Fibonacci มาช่วยในการวิเคราะห์ทิศทางได้
  • ในการเทรดโดยการใช้ Fibonacci เราจะใช้อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio) ของเครื่องมือ  Fibonacci Retracement มาใช้ในการคาดการณ์จุดย่อของราคาเพื่อเขตตามแนวโน้มของเทรนด์ระยะยาว
  • เทรดเดอร์จะต้องศึกษาเกี่ยวกับ Swing Low และ Swing High ของตลาดเพื่อให้สามารถตีเส้น Fibonacci Retracement ได้อย่างแม่นยำ

คำศัพท์ของเทคนิค Fibonacci Retracement

  • Golden Ratio คืออัตราส่วนที่สวยงามตามโครงสร้างธรรมชาติ โดยจะมีค่าเท่ากับ 1.618  ในทางการเทรดโดยใช้เครื่องมือ  Fibonacci Retracement  อัตราส่วนทองคำจะมีค่าเท่ากับ 0.382 , 0.5 และ 0.618
  • Swing High ราคาสูงสุดก่อนที่กราฟจะมีการกลับตัวลง
  • Swing Low ราคาต่ำสุดก่อนที่กราฟจะกลับตัวขึ้น

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • เครื่องมือวาด Fibonacci Retracement
    • ตั้งค่าให้แสดงตัวเลข 0 , 0.382 , 0.5 , 0.618, 1 และ 1.618
    • ตั้งค่าเป็น Reverse

  • เส้น EMA
    • ตั้งค่า 200
  • เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. กราฟอยู่เหนือเส้น EMA 200
  2. ในแนวโน้มขาขึ้นให้ตี Fibonacci Retracement จาก Swing Low ล่าสุด ไปที่ Swing High ล่าสุด
  3. ตีกรอบสี่เหลี่ยมบริเวณค่า  0.382 , 0.5 , 0.618 ของ Fibonacci Retracement
  4. เมื่อราคาลงมาแตะในกรอบ และขึ้นไปปิดเหนือ 0.618 ให้เปิดออเดอร์
  5. ตั้ง Stop loss ใต้กรอบที่วาดเอาไว้และตั้งจุด Take Profit ไว้ที่แนวต้าน หรือที่ Fibonacci อัตราส่วน 1.618

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. กราฟอยู่ใต้เส้น EMA 200
  2. ในแนวโน้มขาขึ้นให้ตี Fibonacci Retracement จาก Swing High ล่าสุด ไปที่ Swing Low ล่าสุด
  3. ตีกรอบสี่เหลี่ยมบริเวณค่า  0.382 , 0.5 , 0.618 ของ Fibonacci Retracement
  4. เมื่อราคาลงมาแตะในกรอบ และขึ้นไปปิดใต้อัตราส่วน 0.618 ให้เปิดออเดอร์
  5. ตั้ง Stop loss เหนือกรอบที่วาดเอาไว้และตั้งจุด Take Profit ไว้ที่แนวรับ หรือที่ Fibonacci อัตราส่วน 1.618

ความยากง่ายของเทคนิค

  • เทคนิคการเทรด  Fibonacci Retracement เป็นเทคนิคที่ใช้งานง่าย แต่ผู้ใช้จะต้องรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของตลาดในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบนี้ทำงานได้ดีมากขึ้น

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • เทคนิคการเทรด  Fibonacci Retracement ใช้ได้ทุก Time Frame แต่จะมีประสิทธิภาพสูงในTime Frame ใหญ่ ที่เห็น Swing Low และ Swing High
  • เทคนิคการเทรด  Fibonacci Retracement สามารถทำกำไรได้มากขึ้นหากเทรดเดอร์รู้จักแนวรับแนวต้าน ทำให้สามารถทำกำไรได้จนสุดเทรนด์

Supply / Demand

  • เทคนิคการเทรด Supply / Demand เป็นเทคนิคที่ใช้ในการเทรดได้ 2 รูปแบบได้แก่ เทรดจุดกลับตัว และ เทรดตามแนวโน้มของเทรนด์ในตลาด

สิ่งที่ควรทำเพื่อเทรดด้วยเทคนิค Supply / Demand

  • Supply คือโซนที่ราคามีการขายอย่างรุนแรง
  • Demand คือโซนที่ราคามีการซื้ออย่างรุนแรง
  • การเทรดด้วย Supply / Demand จะต้องมีความชำนาญเรื่องการอ่านปริมาณการซื้อและการขายในตลาด โดยการใช้แท่งเทียน
  • การเทรดด้วย Supply / Demand เป็นการเทรดตามรายใหญ่

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม

หลักการวาด Supply / Demand

  1. วาดบริเวณที่มีการซื้อหรือการขายอย่างรุนแรง
  2. วาดช่วงที่ราคาเป็น Side Way ระยะสั้น
  3. วาดบริเวณที่มีไส้แท่งเทียนจำนวนมาก

เงื่อนไขการเทรด Demand

  1. วาดกรอบ Demand zone
  2. รอราคาวิ่งกลับมาที่ Demand zone และเกิดรูปแบบการกลับตัวของราคา
  3. เปิดออร์เดอร์ Buy
  4. ตั้ง Stop loss ใต้กรอบ Demand Zone ตั้ง Take profit ที่แนวต้านถัดไป

เงื่อนไขการเทรด Supply

  1. วาดกรอบ Supply zone
  2. รอราคาวิ่งกลับมาที่ Supply zone และเกิดรูปแบบการกลับตัวของราคา
  3. เปิดออร์เดอร์ Sell
  4. ตั้ง Stop loss ใต้กรอบ Supply Zone ตั้ง Take profit ที่แนวรับถัดไป

ความยากง่ายของเทคนิค

  • Supply / Demand เป็นการเทรดที่มีความยากอยู่ในระดับปานกลาง แต่ถ้าศึกษาการอ่านแท่งเทียนและปริมาณการซื้อขายจนชำนาญ ก็จะสามารถหาโซน Supply / Demand ได้ง่ายมากขึ้น

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • ถึงแม้ว่าเทคนิค Supply / Demand จะสามารถเทรดได้ทั้งจุดกลับตัวและเทรดตามเทรนด์ แต่สำหรับมือใหม่แล้ว ควรเริ่มจากการเทรดตามเทรนด์เพราะมีโอกาสที่จะชนะมากกว่า
  • Supply / Demand ใน Time Frame ใหญ่จะมีความแข็งแรงดังนั้นตีกรอบ Supply / Demand ใน Time Frame ใหญ่และหาจุดเข้าใน Time Frame เล็ก จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มกำไรได้
  • สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญในการตีกรอบ Supply / Demand สามารถใช้อิดิเคเตอร์ที่มีชื่อว่า “ Multi Timeframe Supply & Demand Zones ของ Lenny_Kiruthu

Support / Resistance

  • เทคนิค Support / Resistance หรือแนวรับแนวต้าน คือการเทรดโดยการตีแนวรับแนวต้าน
  • การใช้แนวรับแนวต้านในการเทรดเป็นเทคนิคพื้นฐานแต่มีประสิทธิภาพสูงถ้าหากสามารถเรียนรู้และใช้เป็น

สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Support / Resistance

  • Support / Resistance หรือแนวรับแนวต้าน เป็นโซนที่ราคามักจะมีการกลับตัว
  • เมื่อราคามาชนแนวรับจะมีการกลับตัวขึ้น
  • เมื่อราคามาชนแนวต้านจะมีการกลับตัวลง
  • เมื่อราคาทะลุแนวต้าน แนวต้านเดิมจะเปลี่ยนเป็นแนวรับใหม่
  • เมื่อราคาทะลุแนวรับ แนวรับเดิมจะเปลี่ยนเป็นแนวต้านใหม่

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • เครื่องมือวาด : กรอบสี่เหลี่ยม , เส้นแนวนอน

หลักการตีแนวรับแนวต้าน

  1. บริเวณที่มีแนวรับหรือแนวต้านสำคัญราคาจะมีลักษณะเป็นไส้เทียนมากกว่าเนื้อเทียน
  2. บริเวณที่เป็นแนวรับแนวต้านสำคัญราคาจะมีการชนและกลับตัว
  3. แนวรับแนวต้านที่มีความแข็งแรงราคาจะมีการชนและกลับตัวอย่างน้อย 3 ครั้ง
  4. การตีเส้นแนวรับแนวต้านควรตีบริเวณที่ใกล้กับราคาปัจจุบัน

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้นตลาด Sideway

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
  2. รอราคาลงมาที่แนวรับ และเกิดรูปแบบการกลับตัว
  3. เปิดออเดอร์ Buy
  4. ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ และ Take Profit ที่แนวต้าน

เงื่อนไขการเทรดขาลงตลาด Sideway

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
  2. รอราคาลงมาที่แนวต้าน และเกิดรูปแบบการกลับตัว
  3. เปิดออเดอร์ Sell
  4. ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน และ Take Profit ที่แนวรับ

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้นตลาดเป็นเทรนด์

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
  2. รอราคาทะลุแนวต้าน และกลับมาที่แนวต้านนั้น ๆ
  3. รอราคาเกิดการกลับตัวบริเวณแนวต้านที่เปลี่ยนเป็นแนวรับ
  4. ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ และ Take Profit ที่แนวต้าน

เงื่อนไขการเทรดขาลงตลาดเป็นเทรนด์

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
  2. รอราคาทะลุแนวรับ และกลับมาที่แนวรับนั้น ๆ
  3. รอราคาเกิดการกลับบริเวณแนวรับที่เปลี่ยนเป็นแนวต้าน
  4. ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน และ Take Profit ที่แนวรับ

ความยากง่ายของเทคนิค

  • แนวรับแนวต้านเป็นเทคนิคที่เข้าใจง่าย แต่การนำไปใช้ค่อนข้างยาก เป็นเทคนิคที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจ ถึงจะเริ่มใช้ได้อย่างชำนาญ

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • การตีแนวรับแนวต้านควรตีใน Time Frame ใหญ่ แนวรับแนวต้านจะมีความแข็งแรงมากกว่า
  • สำหรับมือใหม่ที่ใช้เทคนิคนี้ควรเริ่มจากการเทรดในตลาดที่เป็นเทรนด์ มากกว่าการเทรดในรูปแบบ Side way
  • การตีแนวรับแนวต้านควรตีเป็นกรอบราคาเพราะจะครอบคลุมมากกว่าการตีในแบบเส้น

Chart Pattern

  • Chart Pattern เป็นเทคนิคการเทรดตามลักษณะการเกิดของโครงสร้างกราฟราคาในตลาด
  • Chart Pattern มีหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตามเทรน โครงสร้างการกลับตัว

สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Chart Pattern

  • Chart Pattern เป็นเทคนิคที่สามารถเทรดได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเทรดตามเทรนด์หรือเทรดจุดกลับตัว
  • การใช้เทคนิค Chart Pattern เทรดเดอร์จะต้องหมั่นศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างตลาด และอ่านรูปแบบการเกิดซ้ำๆของแท่งเทียน

Chart Pattern ที่ได้รับความนิยม

  1. Head and Shoulders
  2. Flag

  1. Double Top
  2. Double Bottom
  3. Triple Top
  4. Triple Bottom

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • เครื่องมือวาด :  เส้นแนวนอน และ เส้นทแยง

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. ตีกรอบแนวรับ แนวต้าน หรือเส้นแนวโน้มบนกราฟ
  2. รอกราฟ ทำรูปแบบของตลาดขาขึ้น เช่น Bullish flag, Double Bottom หรือ Inverted Head and Shoulders
  3. เปิดออเดอร์ Buy
  4. ตั้ง Stop loss ใต้เส้นแนวรับ หรือ ใต้เส้นแนวโน้ม และ Take Profit โดยใช้ Risk Reward Ratio อย่างน้อย 1:2

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. ตีกรอบแนวรับ แนวต้าน หรือเส้นแนวโน้มบนกราฟ
  2. รอกราฟ ทำรูปแบบของตลาดขาขึ้น เช่น Bearlish flag, Double Top หรือ Head and Shoulders
  3. เปิดออเดอร์ Sell
  4. ตั้ง Stop loss เหนือเส้นแนวต้าน หรือ เหนือเส้นแนวโน้ม และ Take Profit โดยใช้ Risk Reward Ratio อย่างน้อย 1:2

ความยากง่ายของเทคนิค

  • เป็นเทคนิคที่มีความยากระดับปานกลาง ผู้ใช้จะต้องศึกษาโครงสร้างของตลาดและรูปแบบของ Chart Pattern ให้แม่นยำ

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ควรเลือกใช้ Chart Pattern เพียง 1-2 รูปแบบ ในการสร้างแผนเทรดจนเกิดความชำนาญ ก่อนที่จะเริ่มศึกษา Chart pattern อื่น ๆ
  • การตั้งจุด Stop loss และ Take Profit สามารถปรับได้ตามพฤติกรรมของสินทรัพย์ ซึ่งต้องเกิดจากการทดสอบเทคนิคการเทรดย้อนหลัง

Price Action

  • Price Action เป็นเทคนิคระดับสูงที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันทั่วโลก
  • เทคนิคการเทรด Price Action เป็นการเทรดโดยใช้ลักษณะของแท่งเทียนซึ่งแสดง พฤติกรรมของคนในตลาด
  • เทคนิค Price Action เป็นเทคนิคที่ใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ ตัวอย่างเช่น แนวรับแนวต้าน เป็นต้น

สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Price Action

  • เทรดเดอร์ที่เทรดเทคนิคนี้จะต้องรู้จักกับพฤติกรรมของแท่งเทียน และจำรูปแบบ ของแท่งเทียนได้อย่างแม่นยำ
  • การเทรดด้วย Price Action เมื่อรวมกับเทคนิคอื่นๆจะมีอัตราการชนะที่สูงมากขึ้น
  • การเทรดด้วย Price Action มักจะเป็นการใช้เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา

รูปแบบแท่งเทียนที่นิยมมาใช้เทรด Price Action

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม
  2. รอราคาลงมาที่แนวรับ หรือที่เส้นแนวโน้ม และเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว Bullish Engulfing , Morning Star
  3. เปิดออเดอร์ Buy
  4. ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ ใต้เส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวต้าน

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม
  2. รอราคาลงมาที่แนวต้าน หรือที่เส้นแนวโน้ม และเกิดรูปแบบการกลับตัว Bearlish Engulfing, Evening Star
  3. เปิดออเดอร์ Sell
  4. ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน เหนือเส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวรับ

ความยากง่ายของเทคนิค

  • การเทรดด้วยเทคนิค Price Action เป็นเทคนิคที่ง่ายสามารถใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถเทรดได้เมื่อใช้ร่วมกับเทคนิคอื่น การสังเกตรูปแบบแท่งเทียนจะทำได้ง่ายขึ้น

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • เทรดเดอร์ที่เทรดด้วยเทคนิค Price Action ควรหารูปแบบแท่งเทียนบริเวณที่ใกล้กับ Key Level เช่นบริเวณแนวรับแนวต้าน Demand / Supply หรือ เส้น EMA

Break out

  • เทคนิคการเทรด Break out คือการเทรดเมื่อราคาได้มีการทำลายแนวรับแนวต้าน โดยเทรดในทิศทางเดียวกับแท่งเทียนที่มีการ Break out

สิ่งควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Break out

  • เทคนิคการเทรด Break out จะมีสัญญาณหลอกค่อนข้างเยอะ เทรดเดอร์จะต้องดูลักษณะของแท่งเทียนตอนที่มีการ Break out ซึ่งควรมีขนาดใหญ่บ่งบอกถึงแรงซื้อแรงขายที่ชัดเจน (แท่งเทียน Momentum

คำศัพท์ของเทคนิค  Break out

  •  Break out คือการที่ราคาสามารถทำลายแนวรับแนวต้าน และทำให้ตลาดมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็น=เทรนด์

ลักษณะแท่งเทียน Momentum

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม หรือรูปแบบของ Chart pattern
  2. รอราคาวิ่งทะลุแนวต้านหรือเส้นแนวโน้มในทิศทางขาขึ้น
  3. เปิดออเดอร์ Buy เมื่อมีแท่งเทียนโมเมนตัม
  4. ตั้ง Stop loss ใต้เส้นแนวรับ หรือ ใต้เส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวต้าน

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน หรือเส้นแนวโน้ม หรือรูปแบบของ Chart pattern
  2. รอราคาวิ่งทะลุแนวรับหรือเส้นแนวโน้มในทิศทางขาลง
  3. เปิดออเดอร์ Sell เมื่อมีแท่งเทียนโมเมนตัม
  4. ตั้ง Stop loss เหนือเส้นแนวต้าน หรือ เหนือเส้นแนวโน้ม และ Take Profit ที่แนวรับ

ความยากง่ายของเทคนิค

  • การเทรด Break out  เป็นเทคนิคที่ยากในระดับปานกลาง เทรดเดอร์ต้องหมั่นศึกษาลักษณะของแท่งเทียนช่วงที่ราคามีการ ฺBreak out เพื่อให้มีความแม่นยำในการเทรดมากขึ้น

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • เทคนิคการเทรด Break out ไม่จำเป็นต้องเทรดกับแนวรับแนวต้านเพียงอย่างเดียว สามารถใช้ในการเทรดกับ Chart pattern ได้ด้วย

EMA Pullback

  • เทคนิคการเทรด EMA Pullback เป็นการเทรดโดยหาโอกาสจากจุดย่อของเทรนด์ในตลาด
  • เทคนิคการเทรดนี้จะทำให้เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์ในราคาถูก (Discount) และปิดออเดอร์ในราคาแพง (Premium)

สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค EMA Pullback

  • เทรดเดอร์ที่ใช้เทคนิคนี้จะต้องชำนาญในการใช้งานเส้น EMA และรู้จักการตั้งค่าให้เหมาะสมกับลักษณะของเทรนด์ในตลาด

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • เส้น EMA
    • ตั้งค่า 50

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. รอให้ราคาวิ่งอยู่ เหนือเส้น EMA 50
  2. รอราคาวิ่งกลับมาใกล้เส้น EMA 50 หรือแตะกับเส้น  EMA 50
  3. รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Buy
  4. ตั้ง Stop loss ใต้เส้น Swing Low หรือใต้เส้น EMA 50 และ Take Profit ที่แนวต้านหรือใช้ Risk Reward Ratio 1:2

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. รอให้ราคาวิ่งอยู่ ใต้เส้น EMA 50
  2. รอราคาวิ่งกลับมาใกล้เส้น EMA 50  หรือแตะกับเส้น  EMA 50
  3. รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Sell
  4. ตั้ง Stop loss ใต้เส้น Swing High หรือเหนือเส้น EMA 50 และ Take Profit ที่แนวรับหรือใช้ Risk Reward Ratio 1:2

ความยากง่ายของเทคนิค

  • เทคนิค EMA Pullback เป็นเทคนิคที่เข้าใจง่าย มือใหม่ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถนำไปปรับใช้ในการเทรดได้

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • การเทรดด้วยเทคนิค EMA Pullback ควรใช้ EMA อย่างน้อย 2 เส้นจะช่วยหาแนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น
  • การตั้งค่า EMA  ควรขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของสินทรัพย์ที่เทรดในตลาด ซึ่งพื้นฐานแล้ว การเทรดด้วยเทคนิคนี้จะใช้ EMA ที่ตั้งค่า 20 , 50 ,100 และ 200
  • สามารถใช้อินดิเคเตอร์ อย่างเช่น Stochastic RSI , RSI หรือ MACD มาช่วยยืนยันการกลับตัวของราคา

RSI Divergence

  • RSI Divergence เป็นการเทรดจุดกลับตัวโดยใช้อินดิเคเตอร์ RSI
  • RSI (Relative Strength Index) เป็นอินดิเคเตอร์ที่แสดงโมเมนตัมของตลาดไว้ดูแรงซื้อแรงขาย สามารถใช้บ่งชี้จุดที่ราคาอาจจะมีการกลับตัวได้

สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค RSI Divergence

  • การเทรดจุดกลับตัวด้วย RSI มีอัตราการชนะต่ำ แต่ทำกำไรได้สูง ควรเทรดใน Time Frame ใหญ่อย่างเช่น 4H หรือ D จะมีความแม่นยำมากกว่าใน Time Frame เล็ก

คำศัพท์ของเทคนิค RSI Divergence

  • RSI Bullish Divergence คือ RSI มีการยกตัวขึ้น แต่ราคาวิ่งต่ำลง แสดงว่าแรงขายเริ่มน้อยลง และเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาในตลาด

  • RSI Bearlish Divergence คือ RSI มีการกดตัวลง แต่ราคาวิ่งสูงขึ้น แสดงว่าแรงซื้อเริ่มน้อยลง และเริ่มมีแรงขายเข้ามาในตลาด

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • RSI
    • ตั้งค่า 14 (ค่าพื้นฐาน)

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
  2. รอให้วิ่งมาที่บริเวณแนวรับสำคัญ
  3. รอให้ RSI เกิด RSI Bullish Divergence
  4. รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Buy
  5. ตั้ง Stop loss ใต้แนวรับ และ Take Profit ที่แนวต้าน

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. ตีกรอบแนวรับแนวต้าน
  2. รอให้วิ่งมาที่บริเวณแนวรับสำคัญ
  3. รอให้ RSI เกิด RSI Bearlish Divergence
  4. รอราคาเกิดการกลับตัวจึงเปิดออเดอร์ Sell
  5. ตั้ง Stop loss เหนือแนวต้าน และ Take Profit ที่แนวรับ

ความยากง่ายของเทคนิค

  • เป็นเทคนิคที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถที่จะเทรดได้

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • การใช้เทคนิค RSI Divergence จะมีประสิทธิภาพมากถ้าเทรดเดอร์สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์หลาย Time Frame หาจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวจาก RSI ใน Time Frame ใหญ่ และหาจุดเข้าใน Time Frame เล็ก เพื่อให้ได้เปรียบตลาดและมีความเสี่ยงน้อยลง
  • ถ้ายังไม่สามารถมองหา Divergence จาก RSIi ได้อย่างชำนาญสามารถใช้อินดิเคเตอร์ชื่อ “RSI Divergence Indicator” ในการช่วยเหลือได้
  • RSI Divergence สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเทคนิคอื่นๆได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น EMA Pullback เป็นต้น

Bolinger Bands

  • เทคนิค Bolinger Bands เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยส่วนใหญ่แล้วใช้ในการเทรดช่วงตลาด Side way  แต่ก็สามารถเทรดในช่วงตลาดที่เป็นเทรนด์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเทคนิคนี้ใช้ – อินดิเคเตอร์ ที่มีชื่อว่า “Bolinger Bands”
  • อินดิเคเตอร์ Bolinger Bands ประกอบด้วย 3 ส่วนได้แก่
    • Upper Bands
    • Middle Bands
    • Lower Bands

สิ่งที่ควรรู้เพื่อเทรดด้วยเทคนิค Bolinger Bands

  • เทคนิค Bolinger Bands เป็นเทคนิคในการเทรดจุดกลับตัว แต่ไม่ควรนำไปใช้ในการเทรดสวน —–เทรนด์
  • Bolinger Bands สามารถใช้ดูแนวโน้มของเทรนด์ในตลาดได้
    • ถ้ากราฟอยู่บริเวณ Upper Bands และขนาดของ Bolinger Bands  กว้าง หมายถึงตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่รุนแรง
    • ถ้ากราฟอยู่บริเวณ Middle Bands  และขนาดของ Bolinger Bands เริ่มแคบลงหมายความว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วง Side way
    • ถ้ากราฟอยู่บริเวณ Lower Bands และขนาดของ Bolinger Bands  กว้าง หมายถึงตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาลงที่รุนแรง
  • Bolinger Bands สามารถใช้ดูโมเมนตัมของตลาดได้

เครื่องมือในการเทรดและการตั้งค่า

  • Bolinger Bands
    • ตั้งค่า 20 (ค่าพื้นฐาน)
  • EMA
    •  ตั้งค่า 200

เงื่อนไขการเทรดขาขึ้น

  1. ดูแนวโน้มขาขึ้นโดยกราฟต้องอยู่เหนือ EMA 200
  2. รอกราฟราคาวิ่งกลับมาบริเวณ Middle Bands และเกิดการกลับตัวขึ้น (รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว)
  3. เปิดออเดอร์ Buy
  4. ตั้ง Stop loss  ไว้ใต้เส้น Middle Bands และ Take Profit เมื่อราคาต่ำกว่าเส้น Middle Bands

เงื่อนไขการเทรดขาลง

  1. ดูแนวโน้มขาลงโดยกราฟต้องอยู่ใต้ EMA 200
  2. รอกราฟราคาวิ่งกลับมาบริเวณ Middle Bands และเกิดการกลับตัวลง (รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว)
  3. เปิดออเดอร์ Sell
  4. ตั้ง Stop loss  ไว้เหนือเส้น Middle Bands และ Take Profit เมื่อราคาสูงกว่าเส้น Middle Bands

ความยากง่ายของเทคนิค

  • เป็นเทคนิคที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานก็สามารถเข้าใจระบบได้อย่างลึกซึ้ง เทคนิค Bolinger Bands  สามารถทำกำไรได้สูง

คำแนะนำสำหรับมือใหม่

  • เทคนิค Bolinger Bands  สามารถตั้งจุดทำกำไรโดยใช้ Risk Reward Ratio เข้ามาช่วยได้ไม่จำเป็นต้องรันเทรนด์
  • เทคนิค Bolinger Bands นอกจากจะใช้งานกับเส้น EMA แล้ว ยังสามารถใช้กับอินดิเคเตอร์ตัวอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น RSI, แนวรับแนวต้าน หรือ Bolinger Bands ที่มีการตั้งค่าแตกต่างกัน
  • หากเริ่มมีความชำนาญในการอ่านโครงสร้างตลาดสามารถนำเทคนิคนี้ไปเทรดในตลาดที่เป็น Side way ได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *