สภาวะตลาด Forex ( Forex market condition) เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ การปรับกลยุทธ์การเทรดให้เข้ากับทุกสภาวะตลาดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องทำ เพราะทุกกลยุทธ์การเทรดไม่สามารถทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด ไม่มีกลยุทธ์การเทรดไหนที่สามารถทำกำไรได้ 100% การลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสการทำกำไรเป็นสิ่งจำเป็น บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ เทรดเดอร์มือใหม่ไปเรียนรู้แนวทางในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้มากขึ้นผ่านหัวข้อดังต่อไปนี้
- สภาวะตลาดคืออะไร
- ปัจจัยที่ทำให้สภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง
- ทำไมต้องมีการปรับกลยุทธ์ตามตลาด
- หลักการปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด
- ตัวอย่างการปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด Forex
สภาวะตลาดคืออะไร
สภาวะตลาดคือลักษณะการเคลื่อนที่ของราคาสินทรัพย์ในตลาดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งสภาวะตลาดแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
- ตลาดที่เป็นเทรนด์ เป็นช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งแสดงออกถึงแรงซื้อและแรงขายที่ชัดเจน ตลาดที่เป็นเทรนด์มี 2 รูปแบบ ตลาดกระทิง ซึ่งก็คือตลาดที่เป็นเทรนด์ขาขึ้นมีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย และ ตลาดหมี ซึ่งก็คือตลาดที่เป็นเทรนด์ขาลงมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ
- ตลาด Side Way เป็นช่วงตลาดมีการเคลื่อนที่อยู่ในกรอบราคาหนึ่งถึงอีกราคาหนึ่ง เป็นการเคลื่อนที่ในระยะแคบ ๆ และวิ่งออกข้าง ช่วงตลาด Side Way จะไม่มีทิศทางของตลาดที่ชัดเจน แสดงถึงตลาดมีแรงซื้อและแรงขายในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน
- ตลาดที่มีความผันผวน เป็นช่วงที่ตลาดเกิดแรงซื้อแรงขายอย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาได้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่แล้วตลาดจะมีความผันผวนจะเกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ข่าวทางการเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญ
ปัจจัยที่ทำให้สภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง
เพื่อน ๆ เทรดเดอร์มือใหม่เคยสงสัยไหมว่าสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ตลาดนั้นปรับตัวขึ้น กลับตัวลง หรือบางช่วงตลาดก็เงียบและไม่มีทิศทาง ซึ่งการที่ทำให้สภาวะตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยนั้นเกิดจากปัจจัยดังนี้
- ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ตัวเลขเงินเฟ้อตัวเลขอัตราดอกเบี้ย และอื่น ๆ ตัวเลขเหล่านี้รวมแล้วแต่สะท้อนว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ แข็งแกร่งหรืออ่อนแอมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกามีตัวเลขอัตราการว่างงานลดลง มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตัวเลขเงินเฟ้อก็ไม่สูงมากเกินไป ก็สะท้อนให้เห็นว่าประเทศสหรัฐอเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะกลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สภาวะตลาดของคู่เงินดอลลาร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยดอลลาร์อาจจะแข็งขึ้น
- ปัจจัยทางการเมือง การเลือกตั้งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด เพราะว่านโยบายทางการเมืองอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจได้ ก่อนการเลือกตั้ง พวกเรามักจะได้เห็นพรรคการเมืองที่เป็นผู้สมัคร จะมีการกล่าวนโยบายหาเสียง หนึ่งในนั้นที่ต้องมีเลยก็คือนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อความแข็งค่าและอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศนั้นๆไม่มากก็น้อย
- ปัจจัยเกี่ยวกับโรคระบาดและสงคราม การแพร่ระบาดของโรคและการเกิดสงครามเป็นสิ่งที่กระทบต่อเศรษฐกิจมวลรวมภายในประเทศนั้นๆโดยตรง ตัวอย่างเช่นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เมื่อปี 2019 จนถึงปี 2020 ที่ผ่านมาตลาด Forex มีความผันผวนมากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษตกลงมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สะท้อนถึงมุมมองให้เห็นว่าในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอนเงินทุนจะไหลออกจากสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงน้อยกว่าไปสู่สินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากกว่านั่นเอง ในช่วงเวลานั้นเราจึงได้เห็นว่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น หรือในเหตุการณ์สงครามในตะวันออกกลาง เราก็ได้เห็นเงินทุนไหลออกจากสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลกไปเก็บไว้ในทองคำซึ่งมีความมั่นคงมากกว่า
- อารมณ์ของตลาด ความกลัวและความมั่นใจในสินทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะตลาดได้ ตัวอย่างเช่นเกิดข่าวร้ายต่อเนื่องกับคู่เงินดอลลาร์ เช่น เงินเฟ้อสูงขึ้น อัตราการว่างงานมากขึ้น หนี้ภายในประเทศมากขึ้น ก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้อารมณ์ในตลาดเกิดความกลัว จนมีการเทขายดอลลาร์และเปลี่ยนไปถึงสกุลเงินอื่น ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนตัวเมื่อเทียบกับสกุลอื่น ๆ นั่นเอง ในทางกลับกันถ้าเกิดข่าวดีขึ้นมาก ๆ ตัวเลขเงินเฟ้อลดลง เศรษฐกิจขยายตัว มีอัตราการจ้างงานเพิ่ม ก็จะสามารถเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนให้กลับมาถือเงินดอลลาร์อีกครั้ง ทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นนั่นเอง
- การเก็งกำไรของนักลงทุน การเทรดและการเก็งกำไรของนักลงทุนโดยเฉพาะกับรายย่อยเป็นส่วนน้อยที่จัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะตลาดขนาดใหญ่ได้ แต่สำหรับในระยะสั้นๆการเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาดก็มีส่วนที่จะทำให้สภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นวันที่มีปริมาณการซื้อขายหรือการเทรดสูง ในวันนั้นสภาวะตลาดอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งวันเลย
ทำไมต้องมีการปรับกลยุทธ์ตามตลาด
เพื่อน ๆ เทรดเดอร์เคยเป็นกันไหม ใช้กลยุทธ์เทรดในช่วงแรก ๆ สามารถเทรดชนะและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปก็เริ่มมีขาดทุน มีแพ้ติดต่อกัน นั่นก็เป็นเพราะว่ากลยุทธ์เทรดไม่สัมพันธ์กับสภาวะตลาดนั่นเอง กลยุทธ์การเทรดทุกกลยุทธ์จะทำงานได้ดีแค่ในช่วงสภาวะตลาดใดตลาดหนึ่งเท่านั้น กลยุทธ์เทรดตามเทรนด์ก็จะทำกำไรได้ดีในสภาวะตลาดที่เป็นเทรนด์ กลยุทธ์เทรด Side Way ก็จะทำกำไรได้ดีในตลาดที่ไม่มีเทรนด์ ในทางกลับกันถ้าเอากลยุทธ์เทรดตามเทรนไปเทรดในตลาด Side Way มันก็ขาดทุนใช่ไหมล่ะครับ เช่นเดียวกันถ้าหากเอากลยุทธ์เทรด Side Way ไปเทรดช่วงตลาดที่เป็นเทรนด์ ผลลัพธ์ของมันก็อาจจะทำให้เราผิดหวัง และนี่คือเหตุผล 3 ข้อว่าทำไมการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามตลาดจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องเรียนรู้
- เพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรด
- เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้น
- เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุน
- เพื่อก้าวข้ามสภาวะตลาดที่ไม่เป็นใจกับกลยุทธ์การเทรด
หลักการปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด
- เข้าใจกลยุทธ์ที่ใช้ ก่อนที่จะปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับสภาวะตลาด เราต้องเข้าใจก่อนว่ากลยุทธ์ของเราเป็นกลยุทธ์แบบใด เพื่อที่เราจะได้ปรับกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง
- ระบุสภาวะตลาดปัจจุบัน ก่อนที่จะเริ่มต้นเทรดทุกครั้ง เพื่อนๆต้องระบุสภาวะตลาดให้ได้เสียก่อน การระบุสภาวะตลาดปัจจุบันจะช่วยให้เราเลือกเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ดูสภาวะตลาดจากการใช้กราฟไทม์เฟรม 1 วัน เพื่อดูกราฟย้อนหลังในช่วงเวลา 3 ถึง 7 วันจะช่วยให้เราสามารถดูภาพรวมของตลาดได้อย่างชัดเจน แล้วจึงค่อยย่อยไปดูไทม์เฟรมเล็กเพื่อหาโอกาสในการเทรด หรือใช้เครื่องมือที่บ่งบอกเทรนด์อย่างเช่นเส้น MA มาช่วยในการระบุสภาวะตลาดก็ได้เช่นเดียวกัน
- เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม เมื่อสามารถระบุสภาวะตลาดที่เป็นปัจจุบันได้ การเลือกใช้เครื่องมือต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดนั้นๆ เช่นเมื่อสภาวะตลาดเป็นเทรนด์ ก็อาจจะใช้เส้น EMA ในการหาโอกาสในการเทรด ในช่วงตลาดที่ไม่เป็นเทรนด์อาจจะใช้ Bollinger Bands หรือแนวรับแนวต้าน สุดท้ายแล้วในช่วงตลาดที่มีความผันผวนสูงอาจจะใช้ Average True Range (ATR) ช่วยจัดการความเสี่ยง
- ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด การติดตามข่าวสารจะช่วยให้เรามองปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนสภาวะได้อย่างแม่นยำมากขึ้น สามารถปรับกลยุทธ์การเทรดและคำนวณความเสี่ยงได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่นเมื่อเรารู้ว่าวันนี้จะมีการประกาศตัวเลข CPI ตอน 19:30 น ก็อาจจะมีการปรับลดความเสี่ยงในการเทรดเพราะตลาดอาจจะมีความผันผวน
- บริหารความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่เทรดเดอร์ควรให้ความสนใจเมื่อต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ตัวอย่างเช่นเราใช้กลยุทธ์การเทรดที่เป็นเทรนด์ เมื่อเห็นสภาวะตลาดเป็นเทรนด์ที่ชัดเจนอาจจะเพิ่มความเสี่ยงเพื่อหวังกำไรเพิ่ม แต่ในช่วงตลาด Sideway อาจจะมีการปรับความเสี่ยงให้ลดลงเพื่อลดโอกาสที่จะขาดทุน
- ทับมือ บางครั้งการไม่เทรดเพื่อรอสภาวะตลาดที่เป็นใจก็เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรดเช่นเดียวกัน ทุก ๆ กลยุทธ์ถึงแม้ว่าจะปรับแก้มากเพียงใดแต่มันก็ไม่สามารถทำให้กลยุทธ์คาดเดาตลาดได้ 100% ดังนั้นหากเจอสภาวะตลาดที่ไม่เป็นใจกับกลยุทธ์ และเราไม่มั่นใจที่จะเทรด การนั่งทับมือไม่เทรดทำให้ไม่ต้องเสี่ยง
- กระจายพอร์ตกระจายความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยงไปในหลาย ๆ สินทรัพย์ช่วยให้เราสามารถทำกำไรได้ โดยเทรดเดอร์ควรมีพอร์ตเทรดระยะสั้นและพอร์ตลงทุนระยะยาว ตัวอย่างเช่น พอร์ต-เทรดในระยะสั้นนั้นใช้เทรด Forex แต่ในพอร์ตการลงทุนระยะยาวเป็นการลงทุนในหุ้นหรือกองทุน แบบนี้ในกรณีที่กลยุทธ์ของเรามีประสิทธิภาพต่ำลงและเริ่มขาดทุนจากการเทรด Forex อย่างน้อยก็ยังมีพอร์ตการลงทุนระยะยาวที่อาจจะทำกำไรให้เราได้
ตัวอย่างการปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด Forex
ในหัวข้อการยกตัวอย่างการปรับกลยุทธ์การเทรด Forex ตามสภาวะตลาดจะขอยกตัวอย่างเป็นกลยุทธ์เทรด EMA Pullback เป็นกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์ ซึ่งจะมีการปรับกลยุทธ์อย่างไรกันบ้างนั้นไปดูกัน
เริ่มต้นเข้าใจกลยุทธ์ กลยุทธ์การเทรดด้วยเส้น EMA เป็นกลยุทธ์ที่มีจุดแข็งและจุดอ่อน
-
- เป็นกลยุทธ์เทรดที่มีประสิทธิภาพสูงในตลาดที่เป็นเทรนด
- ประสิทธิภาพต่ำเมื่อตลาดเป็น Side Way และมีความผันผวนสูง
เมื่อเราเข้าใจกลยุทธ์ได้แบบนี้จะทำให้รู้ว่าเราควรเทรดในสภาวะตลาดใดมากที่สุด
ดูภาพรวมตลาดเพื่อระบุสภาวะ ใช้เส้น EMA 200 ดูภาพรวมของตลาด
-
- ถ้ากราฟอยู่เหนือเส้น EMA 200 แสดงว่าสภาวะตลาดเป็นขาขึ้น
- ถ้ากราฟอยู่ใต้เส้น EMA 200 แสดงว่าสภาวะตลาดเป็นขาลง
- ถ้ากราฟมีการตัดเส้น EMA 200 ขึ้นลง แสดงว่าสภาวะตลาด Sideway
เลือกใช้เครื่องมือ เส้น EMA นั้นจะมีการใช้ค่าแตกต่างกัน
-
- เมื่อสภาวะตลาดเป็นเทรนด์อย่างรุนแรง (Strong Trend) ควรใช้ EMA 20 เพราะราคามักมาเด้งที่ EMA 20 ก่อนกลับตัว ดังนั้นการหาโอกาสเทรดจาก EMA 20 จะง่ายและมีโอกาสทำกำไร
- ในกรณีที่ตลาดเป็นเทรนด์ระยะยาว (Healthy Trend) ควรใช้ EMA 50 เพราะราคามักจะย่อลึกและมาเด้งที่ EMA 50 ก่อนกลับตัว ดังนั้นการหาโอกาสเทรดจาก EMA 50 จะมีประสิทธิภาพสูง
การบริหารความเสี่ยง เมื่อเทรดด้วยเส้น EMA
-
- ในตลาดที่เป็นเทรนด์ที่รุนแรงก็อาจจะมีการเพิ่มความเสี่ยงจากการใช้ Risk Reward 1:3 เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น
- เมื่อตลาดเริ่มมีแนวโน้มเป็นเทรนด์ระยะยาวที่ไม่เป็นเทรนด์อาจจะปรับมาใช้ Risk Reward 1:1.5 เพื่อลดความเสี่ยงและการันตีกำไร
ทับมือ เมื่อเรารู้แล้วว่า EMA เหมาะสมในการเทรดกับสภาวะตลาดที่เป็นเทรนด์ เมื่อเราเห็นว่าราคาเริ่มวิ่งเข้าใกล้เส้น EMA และมีการวิ่งตัดขึ้นตัดลง แสดงว่าตลาดเริ่มมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนสภาวะเป็น Sideway ในช่วงนั้นก็ควรนั่งทับมือและไม่เทรดจนกว่าจะเกิดเทรนด์อีกครั้งหนึ่ง
กระจายพอร์ตกระจายความเสี่ยง ส่วนนี้ผู้เขียนจะมีการแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 พอร์ตพอร์ตแรกเป็นพอร์ตที่ใช้ในการเทรด Forex ซึ่งจะเทรดคู่เงิน USD/JPY และ EUR/USD เป็นการกระจายความเสี่ยงในการเทรด 2 คู่เงิน และยังมีพอร์ตการลงทุนคริปโตที่เป็นการซื้อเก็บในระยะยาว (DCA) ไว้ช่วยกระจายความเสี่ยงอีกด้วย แบบนี้ในกรณีที่ขาดทุนจากการเทรด Forex ก็ยังมีกำไรจากการถือ คริปโตอยู่